วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Gerald Raunig กับ 27 ข้อเสนอของพัฒนาการระบบมหาวิทยาลัยหลัง 1970

27 ข้อเสนอของพัฒนาการระบบมหาลัยหลัง 1970 โดย Gerald Raunig 
จากหนังสือ Factories of Knowledge: Industries of Creativity (Semiotext(e), 2013), pp. 31-9.

1. ระบบมหาวิทยาลัยเริ่มหมกมุ่นกับ "ระบบการประเมินหลักสูตรการเรียนการสอน" ที่ซับซ้อนและใช้ไม่ได้จริง

2. มหาวิทยาลัยนำระบบการคำนวณแบบธุรกิจเข้ามาใช้คิดกับต้นทุนแลกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ

3. การคำนวณต้นทุนกำไรแบบบ้าคลั่งทำให้ค่าเทอมสูงขึ้นอย่างหลีกไม่ได้ และสภาวะที่นักศึกษากลายเป็น "ลูกหนี้" ก่อนจะเรียนจบ กำลังเป็นปรากฎการณ์ทั่วไป

4. หลายมหาวิทยาลัยเชิญชวนให้นักศึกษานำเงินเก็บมาลงทุนกับมหาวิทยาลัยในฐานะผู้ถือหุ้น

5. มีการนำระบบการควบคุมนักศึกษาที่เข้มงวดซึ่งเดิมถูกใช้ในโรงเรียนมาใช้กับนักศึกษามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่อาจารย์

6. คำขวัญว่าด้วย "เตรียมตัวหางาน" กลายเป็นการลดทอนการความรู้ให้เป็นเพียงการกดดันเพื่อจะหางานทำและตอบสนองตลาดแรงงานให้ได้

7. มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งนำเข้าระบบการประเมินผลการเรียนและพฤติกรรมนักศึกษาแบบยิบย่อย เช่น การประเมินในชั้นเรียน และสอดส่องพฤติกรรมนอกห้องเรียน

8. ข้ออ้างที่ว่า การมอบอำนาจในการบริหารทั้งหมดให้ผู้บริหารคณะและสาขาคือประชาธิปไตยนั้นบดบังการมีส่วนร่วมของพนักงานระดับกลางและระดับล่าง โดยยังคงให้อำนาจกับผู้บริหารในการตัดสินความดีความชอบของพนักงานโดยไม่มีมาตรฐานชัดเจน

9. "ความเป็นอิสระ" ของมหวิทยาลัยที่มักจะอ้างกันเมื่อแปรรูปกิจการมหาวิทยาลัยแล้วเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะพนักงานทั่วไปไม่ได้มีอิสรภาพจริง ผู้บริหารเท่านั้นที่มีอิสรภาพ

10. มหาวิทยาลัยหลายแห่งหมกมุ่นกับ "ความเป็นเลิศของการวิจัย" ในขณะที่ก็ไม่ได้ลดชั่วโมงการสอนลง ทำให้คนทำงานต้องแบกรับภาระทั้งงานสอนที่หนักและต้องแข่งกันทำวิจัย

11. มีการสร้างระบบการประเมินความก้าวหน้างานวิจัยแบบตายตัวและไม่ยืดหยุ่น รวมถึงมหาวิทยาลัยมักจะใช้ตัวชี้วัดว่างานวิจัยมีองค์กรหรือสถาบันจากภายนอกให้ทุนวิจัยมากน้อยแค่ไหน

12. อาจารย์มหาวิทยาลัยถูกผูกด้วยการสร้างลิสต์อันยาวเหยียดในประวัติการทำงาน (resume) ของตัวเอง เพื่อใช้ในการถูกประเมินทั้งจากมหาวิทยาลัยและแหล่งทุน

13. มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มผูกขาดรูปแบบการเขียนงานให้เหลือเพียงไม่กี่แบบ เพราะง่ายต่อการประเมิน

14. รูปแบบการเขียนงานที่ว่ามักจะถูกครอบด้วยวิธีการของสายวิทยาศาสตร์ โดยไม่สนใจความรู้และวิธีการแบบอื่นๆ

15. ระบบการประเมินผลงานและงานเขียนถูกจำกัดด้วยอำนาจของ "วารสารวิชาการ" ที่กำลังมีอิทธิพลและผูกขาดการขายและเผยแพร่งานวิชาการ

16. การครอบงำของวารสารวิชาการ "ภาษาอังกฤษ" ทำให้มหาวิทยาลัยในประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกษไม่ให้คุณค่ากับงานที่พิมพ์ในภาษาอื่นๆ

17. วารสารวิชาการเป็นผู้มีอำนาจในการผูกขาดลิขสิทธิ์งานเขียนของผู้เขียน เมื่อส่งบทความให้วารสารแล้ว ผู้เขียนก็หมดสภาพความเป็นเจ้าของ

18. มหาวิทยาลัยนำระบบการประเมินการทำงานแบบองค์กรธุรกิจเข้ามาใช้ เน้นการวัดประสิทธิภาพการทำงานในเชิงปริมาณมากกว่าดูคุณภาพ

19. เราจึงเห็นมหาวิทยาลัยจำนวนมากเลือกใช้ตัวชี้วัดทางสถิติเข้ามาคำนวณสิ่งต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง

20. ในขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งอ้างว่าตัวเองให้ความสำคัญกับการผลิตความรู้ แต่กลับใช้ระบบการจ้างงานแบบยืดหยุ่นและทำให้พนักงานไม่มั่นคง

21. เมื่อประเมินคุณค่าของงานวิจัยหรือการสอนก็มักจะถามว่า สอนไปแล้ว นักศึกษาจะหางานทำได้หรือไม่ หรือจะนำไปขายกับใครได้

22. เมื่อมหาวิทยาลัยที่ถูกแปรรูปเป็นเอกชนจำนวนมากจะจ้างนักธุรกิจ ซีอีโอ และหน่วยงานภายนอกเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหรือช่วยบริหาร ซึ่งไม่ยึดโยงกับคนทำงานและนักศึกษา

23. เมื่อมหาวิทยาลัยต้องหาเงินเองภายหลังถูกแปรรูปแล้ว มหาวิทยาลัยมักจะเปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจ แบรนด์สินค้าต่างๆ เข้ามาลงทุนหรือใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัย เพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่มหาวิทยาลัยจะได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ

24. ข้ออ้างว่า "รัฐถอนตัวจากการศึกษาแล้ว" ไม่เป็นความจริง เพราะการแปรรูปการศึกษา และการกำกับหลักสูตรต่างๆยังคงอยู่ในการควบคุมของรัฐ

25. เมื่อมหาวิทยาลัยต้องหาเงินเอง มหาวิทยาลัยจำนวนมากต้องแปรตัวเองเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ย่อมๆ หรือองค์กรธุรกิจย่อมๆ เพื่อหาทางแปรโครงสร้างพื้นฐานของมหาวิทยาลัยให้เป็นรายได้ ดังที่เราจะเห็นว่าพื้นที่หลายส่วนของมหาวิทยาลัยถูกแปรเป็นหน่วยธุรกิจย่อมๆ หรือห้างสรรพสินค้า

26. ข้ออ้างว่ามหาวิทยาลัยต้อง "โกอินเตอร์" โดยใช้วิธีการเปิดหลักสูตรภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นเรื่องโกหก เพราะเป้าหมายจริงก็คือ นำทรัพยากรของมหาวิทยาลัยไปใช้กับคนที่มีเงินจ่าย ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่ใช่นักศึกษา "อินเตอร์" แต่เป็นนักศึกษาในประเทศที่มีปัญญาจ่าย และกีดกันคนจนออกไ


27. มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกหลายแห่งจะขายหลักสูตรและชื่อของตัวเองให้มหาวิทยาลัยเล็กๆในประเทศโลกที่สาม เพื่อนำชื่อมาใช้เปิดหลักสูตรที่ดูอินเตอร์ โดยไม่สนใจความจำเป็นหรือความต้องการ รวมถึงความสามารถในการจ่ายของนักศึกษามหาวิทยาลัยเล็กๆ นี่คือสภาวะอาณานิคมทางความรู้แบบใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น