15 คุณลักษณะของทุนนิยมความรับรู้
(Cognitive Capitalism)
ถอดความจาก Yann Moulier Boutang, Cognitive
Capitalism (Polity Press, 2011), pp. 50-56.
1. ส่วนสำคัญที่สุดของทุนนิยมความรับรู้คือ
การขยายบทบาทขึ้นของสิ่งที่เป็น “อวัตถุ” (immaterial)
และภาคการบริการซึ่งสัมพันธ์กับการผลิตอวัตถุ
บทบาทของอวัตถุไม่ได้จำกัดแต่เพียงภาคการผลิตใดภาคการผลิตหนึ่งเท่านั้น
แต่ขยายไปในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
รวมถึงภาคบริการที่อยู่ในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งในปี 1985 มูลค่าของภาคการผลิตอวัตถุสามารถเอาชนะภาคการผลิตวัตถุ
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใหม่ๆมีส่วนสำคัญที่ทำให้การผลิตอวัตถุขยายตัวออกไปได้ และอยู่ในรูปของข้อมูลดิจิตอล
การผลิตแบบนี้เน้นที่การสร้างข้อมูล การจัดการข้อมูล
การเก็บข้อมูลในรูปของดิจิตอลทั้งในการผลิตความรู้เองและการผลิตโดยทั่วไปของสังคม
3. การขยายตัวของการผลิตอวัตถุทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นอย่างมาก
โดยเฉพาะความรู้และวิทยาศาสตร์ซึ่งกลายมาเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
หรือกลายเป็น “ภาคการผลิตหลัก” ของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ใน 2 แง่
3.1 วิทยาศาสตร์และความรู้คือปัจจัยหลักของความสามารถในการสร้างสรรค์
ในฐานะที่มันเป็นมูลค่าใช้สอย (use-value)
3.2 วิทยาศาสตร์และความรู้สามารถตกผลึกกลายเป็นสินค้าและบริการได้
ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการสร้างมูลค่าแลกเปลี่ยน (exchange-value)
ความรู้และวิทยาศาสตร์คือปัจจัยชี้ขาดในการขูดรีดของระบบทุนนิยม
แม้ว่าแรงงานเชิงวัตถุจะไม่ได้หายไป แต่แรงงานวัตถุได้ถูกลดความสำคัญลงไป
การหันมาเน้นที่สินค้าหรือทรัพย์สินเชิงอวัตถุเหล่านี้ช่วยให้บรรษัทสามารถควบคุมกระบวนการสร้างมูลค่า
(process of valorization) ของสังคมทั้งหมดได้ สิ่งที่ทุนควบคุมจึงไม่ใช่เพียงการใช้เทคโนโลยีและการผลิตเชิงวัตถุ
แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ ทุนเข้ามาควบคุมกระบวนการสร้างมูลค่าทั้งหมดของสังคม
4. การพัฒนาเทคโนโลยีของทุนไม่สามารถถูกลดทอนได้เป็นการพัฒนาในเชิงเทคนิคเท่านั้น
แต่การพัฒนาของทุนในทุนนิยมความรับรู้คือเรื่องที่ควบคู่กันไปและเกิดขึ้นในระดับของสังคมทั้งหมด
5. ตัวแบบการแบ่งงานกันทำที่อดัม
สมิทธิ์เสนอนั้นถูกทำให้สมบูรณ์ในระบบการผลิตแทบบสายพานหรือเทย์เลอร์
ซึ่งมีคุณสมบัติหลายประการ คือ 1) การลดทอนความซับซ้อนของงานให้ง่ายที่สุด 2) การแยกระหว่างการทำงานแบบใช้แรง กับการหาความรู้ออกจากกัน และ 3) การแบ่งงานกันทำตามความถนัดเริ่มลดบทบาทลงในโลกที่การผลิตมีขนาดเล็กกระทัดรัดมากขึ้น
ในบริบทเช่นนี้ที่ทุนนิยมอุตสาหกรรมกำลังพังทลายไป
ระบบทุนนิยมความรับรู้ไม่ได้มุ่งเน้นที่การขยายขนาดของเศรษฐกิจในฐานะพลังของความเจริญเติบโต
แต่กลับมุ่งเน้นการพัฒนาระบบ “เศรษฐกิจแห่งความหลากหลาย” (economy of
variety) ขึ้นมา
ผ่านการแบ่งงานกันทำในระดับโลกที่มีหน่วยการผลิตขนาดเล็ก เชื่อมต่อกัน
และใช้เกณฑ์ของความรู้เป็นตัวชี้วัด
6. ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของตลาดแรงงานทำให้การจัดการตลาดแรงงานไม่สามารถทำได้ในขอบเขตพื้นที่ที่จำกัดได้อีกต่อไป
แต่มีกระบวนการแบ่งแยกตลาดภายใน พร้อมๆกับมีการทลายกำแพงขอบขอบเขตพื้นที่เดิม
และขยายตลาดออกไปแบบข้ามพรมแดน
7. เรากำลังเห็นการปฏิวัติของกระบวนการผลิตของโลก
ซึ่งส่งผลต่อการแบ่งงานกันทำของสังคมด้วย จากเดิมที่เราแยกการคิด การผลิต
และการตลาดออกจากกันแบบเรียงลำดับ แต่ในระบบทุนนิยมความรับรู้
ปริมณฑลต่างๆถูกกลับหัวกลับหาง
การคิดค้นสร้างสรรค์เกิดขึ้นในการผลิตและเกิดขึ้นในการบริโภค
การพัฒนาเทคโนโลยีไม่ได้อยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญนอกสังคม
แต่อยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆร่วมกันของคนในสังคมผ่านการบริโภคและการใช้ชีวิต
8. แม้ว่ากระบวนการเลี่ยนสิ่งต่างๆให้เป็นสินค้าจะดำเนินไป
แต่เกณฑ์ชี้วัดมูลค่ากำลังเปลี่ยนไป
เพราะเราไม่สามารถสร้างตัวชี้วัดที่ครอบคลุมเพียงพอต่อความหลากหลายของปัจจัยนำเข้าหรือ
inputs ที่ใส่เข้าไปในการผลิตได้
โดยเฉพาะปัจจัยนำเข้าที่เรียกว่า “ทุนมนุษย์” (human capital)
ซึ่งมีลักษณะอวัตถุมากขึ้นเรื่อยๆ
9. รูปแบบการจัดองค์กรการผลิตก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
การเกิดขึ้นของ “เครือข่าย” (network)
ของการผลิตผ่านการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร
โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของระบบอินเตอร์เนตทำให้การทำงานของสังคมในการผลิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
10. การเกิดขึ้นของ
“การทำงานร่วมกันของสมองมนุษย์”
เป็นตัวชี้วัดการลดน้อยถอยลงของวิธีคิดเรื่องกำลังแรงงานเชิงวัตถุแบบเก่า
สิ่งที่เราเห็นว่า “งานกำลังหมดไป” นั้นเป็นเพียงอาการของการเปลี่ยนแปลงของการผลิต
ที่แรงงานอุตสาหกรรมและกำลังแรงงานเชิงวัตถุกำลังหมดความสำคัญลงเท่านั้น
11. การเกิดขึ้นของทุนนิยมความรับรู้ต้องการแรงงานที่ตายแล้ว
(dead labour)
ไม่น้อยไปกว่าแรงงานที่มีชีวิต (living labour)
แต่สิ่งที่เราเห็นก็คือ
เราไม่สามารถลดทอนบทบาทของแรงงานที่มีชีวิตให้กลายเป็นเพียงแรงงานที่ตายไปแล้วได้อีกต่อไป
การผลิตชีวิต (bio-production)
มีบทบาทสำคัญในการกำหนดการพัฒนาของเครื่องจักรและเทคโนโลยีหรือแรงงานที่ตายแล้วด้วย
12. การสร้างสรรค์ (innovations)
ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในบรรษัทเดียวอีกต่อไป แต่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อในรูปของ cluster
ของการผลิตผ่านเครือข่ายการผลิตที่ขยายใหญ่ขึ้น
13. คุณสมบัติของการผลิตสร้างอวัตถุที่อยู่ในรูปของเครือข่ายนั้นมีลักษณะที่เป็นแนวระนาบ
(horizontal) มากขึ้น
ซึ่งเมื่อทุนยัดเยียดระบบกรรมสิทธิ์เข้ามา
โดยเฉพาะทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อมาจัดการกับผลผลิตเชิงอวัตถุ
จึงเกิดความขัดแย้งอย่างมากระหว่างความรู้ซึ่งเป็นสิ่งที่กระจายตัวไปในแนวระนาบ
กับระบอบกรรมสิทธิ์ซึ่งทำงานแบบบนลงล่างในแนวดิ่ง (vertical)
14. ในระบบทุนนิยมความรับรู้
สิ่งที่อยู่ภายนอกกลายมาเป็นส่วนสำคัญที่สุด
โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น
งานสร้างสรรค์ที่เกิดนอเวลาการทำงาน ความรู้ที่อยู่ในตัวตนของมนุษย์
และความสามารถทางปัญญาในการคิดวิเคราะห์ ซึ่งแต่เดิมเป็นสิ่งที่อยู่ “นอก”
เริ่มมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
15. เมื่อการผลิตความรู้เป็นสิ่งเดียวกับการผลิตชีวิต
การผลิตทั้งหมดของระบบทุนนิยมความรับรู้จึงเป็นการผลิตชีวิต (bio-production)
และการผลิตชีวิตเองก็ต้องการการกระทำร่วมกันแบบรวมมหู่ โดยเฉพาะการกระทำทางปัญญา
ส่วนการที่ทุนพยายามเข้ามาควบคุมการผลิตชีวิตนั้นอาจเรียกได้ว่า “ชีวะอำนาจ” (biopower)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น